แนวโน้มแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
1.ความหมาย
แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ (Learning resource center) หรือ ศูนย์สื่อการศึกษา (Educational media center) หมายถึง หน่วยงานส่วนกลางที่ให้การสนับสนุนส่งเสริมการจัดสภาพการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการจัดเก็บ การให้บริการ การใช้ทรัพยากรการเรียนรู้ การให้คำปรึกษา รวมถึงการจัดบริเวณที่เป็นสัดส่วนสำหรับความต้องการในการใช้สื่อบางประเภท (UNESCO, 1987 อ้างถึงใน รัตนาภรณ์ ประวัติวัชรา, 2539)
ปรัชญาและเป้าหมายของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
1. เพื่อให้การศึกษา การบ่มเพาะกล่อมเกลา และช่วยพัฒนาการเรียนรู้ให้กับผู้สนใจไม่จำกัดความสามารถหรือพื้นฐานการศึกษาไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถเข้าไปแสวงหาความรู้ได้เท่าเทียมกัน
2. เพื่อบริการสารสนเทศ ช่วยให้ผู้เข้ามาใช้บริการได้รับข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้องอย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์
3. เพื่อวัฒนธรรมโดยเป็นศูนย์กลางของการเผยแพร่วัฒนธรรม และเป็นแหล่งส่งเสริมการมีส่วนร่วม และความซาบซึ้งในศิลปวัฒนธรรม
4. เพื่อพักผ่อนและนันทนาการ แหล่งการเรียนรู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อการพักผ่อนและนันทนาการที่ดีที่สุดประการหนึ่งในท้องถิ่น เป็นการช่วยให้ประชาชนได้ใช้เวลาว่างเพื่อการอ่านและแสวงหาความรู้ต่าง ๆ
ชื่อเรียกต่าง ๆ ของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ที่มีอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาของไทยในปัจจุบันมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไปแล้วแต่สถาบัน (ไชยยศ เรืองสุวรรณ,2526 อ้างถึงใน รัตนาภรณ์ ประวัติวัชรา,2539) เช่น ศูนย์วิชาการสำนักวิทยาบริการ ห้องสมุด สำนักเทคโนโลยีการศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ศูนย์แหล่งการเรียน ศูนย์บริการโสตทัศนศึกษา เป็นต้น ซึ่งหากพิจารณาตามนิยายว่าหน่วยงานใดจัดเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ได้นั้น นอกจากจะพิจารณาจากการรวบรวมสื่อหลากหลายประเภทแล้ว ยังจะต้องมีการจัดระบบทรัพยากรการเรียนรู้ที่ดี โดยวางแผนดำเนินการและประเมินผลที่ชัดเจน
2. ตัวอย่างของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้ภายในโรงเรียน แบ่งเป็น
1. แหล่งการเรียนรู้ในอาคารเรียน ได้แก่ ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดหมวดวิชา ห้องสมุดเคลื่อนที่ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องศูนย์วิชา ห้องวัฒนธรรมไทย ศูนย์สื่อฯพัฒนาการเรียนการสอน เป็นต้น
2. แหล่งการเรียนรู้นอกอาคาร ได้แก่ สวนสมุนไพร สวนวรรณคดี สวนสุขภาพ สวนธรรม สวนหนังสือ สวนป่า อุทยานวิทยาศาสตร์ ศาลานักอ่าน สวนพฤษศาสตร์ เป็นต้น
3. แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นแหล่งการจัดกิจกรรม แหล่งบริการต่าง ๆ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านการจัดกิจกรรมให้ความรู้ เสริมหลักสูตรในรูปของชุมชน เป็นต้น
แหล่งการเรียนรู้ภายนอกโรงเรียน แบ่งเป็น
¨ แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติทางภูมิศาสตร์ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ลำธาร น้ำตก ทะเลสาบ ภูเขา ป่า อุทยาน สัตว์ป่า สภาพแวดล้อมรอบตึก เป็นต้น
¨ แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น วิถีการดำรงชีวิต เช่น ผู้รู้ ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำองค์กรท้องถิ่น ผู้นำทางศาสนา นักวิชาการของหน่วยงานราชการ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ เป็นต้น
¨ แหล่งการเรียนรู้ที่สังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน ได้แก่
- ห้องสมุดประชาชน 801 แห่ง (ห้องสมุดประชาชนจังหวัด 73 แห่ง ห้องสมุดประชาชนอำเภอ 656
แห่ง ห้องสมุด เฉลิมราชกุมารี” 71 แห่ง หอสมุดรัชมังคลาภิเษก 1 แห่ง และห้องสมุดเคลื่อนที่อีกจำนวนหนึ่ง
- ที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าง 35,289 แห่ง
- ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน จำนวนละ 1 แห่ง (ปัจจุบันประมาณ 5,870 แห่ง)
- ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาและเครือข่าย 16 แห่ง
- ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาและศูนย์ผลิตสื่อประจำภาพ 6 แห่ง
- สวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 11 แห่ง
¨ แหล่งการเรียนรู้ที่สังกัดกรมศิลปากร ได้แก่
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และประจำจังหวัด (จดทะเบียนราว 270 แห่ง)
- หอสมุดแห่งชาติและจดหมายเหตุ
- ศูนย์ศึกษา แหล่ง และอุทยานประวัติศาสตร์
¨ แหล่งการเรียนรู้ที่สังกัดกรมศาสนา ได้แก่วัดและศาสนสถานทั่วประเทศซึ่งมีประมาณ 8,000 แห่ง
3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางและแนวโน้มของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
1. ปัจจัยในระดับนานาชาติ
1.1 พัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
1.2 ความร่วมมือด้านวิชาการในระดับนานาชาติ
2. ปัจจัยภายในประเทศไทย
2.1 ข้อกำหนดในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 9 : เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
2.2 นโยบาย “หนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนสมบูรณ์แบบ”
2.3 โครงการคอมพิวเตอ์เอื้ออาทร
2.4 แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย พ.ศ. 2545-2549
4. แนวโน้มของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
1. ในภาพรวมของประเทศจะมีจำนวนแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น และกระจายไปทั่วทั้งประเทศในเวลาอันรวดเร็ว รวมถึงรูปแบบแหล่งการเรียนรู้ใหม่ ๆ
ในปัจจุบันนี้สถานที่ที่จัดได้ว่าเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้มีอยู่เฉพาะในสถานศึกษาที่มีความพร้อม เนื่องจากการเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ จะต้องประกอบด้วยการรวบรวมสื่อหลากหลายประเภทและต้องมีการจัดระบบทรัพยากรการเรียนรู้ที่ดี โดยวางแผนดำเนินการและประเมินผลที่ชัดเจน ดังนั้นห้องสมุดของโรงเรียนที่มีอยู่จึงมีองค์ประกอบไม่เพียงพอที่จะจัดเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ได้
ลักษณะของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้น
2. การจัดตั้งแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ เป็นต้น จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการเอื้อของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยจะมีการสร้างให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีความพร้อมและศักยภาพในการเรียนรู้ อีกทั้งจากโครงการหนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนสมบูรณ์แบบก็จะส่งผลให้เกิดแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในระดับโรงเรียนกระจายไปทั่วประเทศ
ยกตัวอย่างลักษณะของพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบของแหล่งการเรียนรู้ในอนาคต ได้แก่
· การมีส่วนร่วมในสังคม เป็นเรื่องของการส่งเสริม และให้บริการ การอำนวย
· ความสะดวกแก่ผู้เข้าชมทุกประเภท
· การให้ผู้ชมเข้าถึงความรู้ในวัตถุของที่จัดแสดงให้มากที่สุด
· พิพิธภัณฑ์ต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เพื่อให้ผู้ชมเข้าถึง
· การบริการ
· การแสดงแบบรายการ (Catalog) และเอกสารสำคัญ ๆ เป็นแบบเชื่อมตรงผ่าน
· อินเตอร์เน็ต
· การให้การบริการเสริมแก่ทุกพื้นที่
· พิพิธภัณฑ์ควรปรึกษาหารือกับกลุ่มคนที่อยู่ในภาวะถูกกีดกันจากสังคมเพื่อรับรู้ปัญหา
· และจัดการบริการจากสังคมเพื่อรับรู้ปัญหาและจัดการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของบุคคลเหล่านี้
· ผลงานจัดแสดงสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรม
· พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และหอจดหมายเหตุ เป็นสถานที่เรียนรู้ในชุมชน
· พิพิธภัณฑ์เป็นศูนย์ความร่วมมือขององค์กรต่าง ๆ
2. ห้องสมุดมีชีวิต หรือห้องสมุดธรรมชาติ : สิ่งที่เรียนรู้จากชุมชนมีมากมาย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆ ในชุมชน ประวัติประเพณี พิธีกรรมของชุมชน แหล่งการเรียนรู้ทางศาสนา วัฒนธรรม งานอาชีพ การประกอบอาชีพในชุมชน ซึ่งอาจจะเปรียบได้กับห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดและเป็นความจริงที่กำลังเกิดขึ้น
3. ลักษณะของทรัพยากรและการให้บริการ จะมุ่งสู่รุปแบบอิเลคทรอนิคส์มากขึ้น และเป็นระบบอัตโนมัติ
ลักษณะดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นได้เนื่องจากมีปัจจัยเกื้อหนุนดังต่อไปนี้
1) การพัฒนาทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น อุปกรณ์ต่าง ๆ ราคาถูกลง ประกอบกับในประเทศไทยมีโครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ซึ่งส่งผลให้ราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วประเทศตกลงมาอยู่ในวิสัยที่สถานศึกษาในระดับเล็ก ๆ ก็สามารถจัดหามาไว้ใช้งานได้ ซึ่งคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้การให้บริการอิเลคทรอนิกส์เกิดขึ้นได้ และในทางปฏิบัติแล้วไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องราคาแพง ควรเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถเหมาะสมกับลักษณะงานที่ให้บริการมากกว่า
2) โครงการแบ่งปันข้อมูลอิเลคทรอนิกส์ในลักษณะต่าง ๆ ทำให้การลงทุนด้านข้อมูลไม่สูงอย่างในอดีต เช่น โครงการ UNINET หรือ Schoolnet ที่มีการซื้อฐานข้อมูลอิเลคทรอนิกส์ดี ๆ ในลักษณะของ countrt-licensed ทำให้เครือข่ายสามารถให้บริการข้อมูลจากฐานข้อมูลชั้นนำเหล่านี้ได้
3) ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศ ที่มีเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน รูปแบบความร่วมมือทางวิชาการของประเทศไทยกับต่างประเทศนั้น มีทั้งแบบแลกเปลี่ยนและรับการถ่ายทอดดังนั้นทรัพยากรการเรียนรู้บางส่วนจะถูกกำหนดโดยเงื่อนไขนี้ ยกตัวอย่างเช่น โครงการแลกเปลี่ยนบทเรียนทางไกลซึ่งต่างประเทศได้เตรียมไว้ในรูปแบบอิเลคทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหากประเทศไทยต้องการเข้าร่วมโครงการนี้ก็จำเป็นต้องปรับบทเรียนให้เป็นแบบอิเลคทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน ซึ่งแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ก็จะมีบทบาททั้งการร่วมพัฒนาสื่อใหม่ ๆ เหล่านี้
3. มีการสร้างเครือข่ายของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ที่มีความร่วมมือกันมากขึ้น
มีการสร้างเครือข่ายของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ โดยให้ประชาชนทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงความรู้และสามรถเรียนรู้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ต่อเนื่องตลอดชีวิต จึงมีการดึงชุมชน ครอบครัว สถาบันและองค์กรต่าง ๆ มาสร้างแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ขึ้น เพื่อจัดกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ในเชิงประสบการณ์และพัฒนาชีวิต ตามความต้องการของผู้เรียนเอง ซึ่งแนวความคิดนี้สอดคล้องกับมาตรา 29 ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แม้ว่าปัจจุบันเครือข่ายแหล่งความรู้จะมีบ้างแล้ว เช่น PULINET (A Plan for the Establishment of Provincial University Library Network) เป็นเครือข่ายห้องสมุดมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค THAILINET M (Thai Academic Library Network Metropolitan) เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของห้องสมุดมหาวิทยาลัยส่วนกลาง SCHOOLNET เป็นเครือข่ายโรงเรียนทั่วประเทศ และ UNINET เป็นเครือข่ายของทบวงมหาวิทยาลัย แต่พบว่าหน้าที่หลักของเครือข่ายดังกล่าวเป็นรูปของส่วนกลางเป็นผู้ให้ กล่าวคือ ส่วนกลางจัดหาข้อมูลแล้วกระจายไปในเครือข่าย ทำให้เกิดภาวะผู้ให้ และผู้รับ ไม่เกิดภาวะการณ์พัฒนาซึ่งกันและกัน และความร่วมมือเป็นไปในแบบทางเดียว ซึ่งความเป็นจริงก็ไม่ใช้สิ่งที่เกิดความคาดหมาย เนื่องจากสมาชิกในแต่ละเครือข่ายดังกล่าว ก็มีความสามารถในอยู่อย่างเอกเทศได้อยู่แล้ว เช่น มหาวิทยาลัยต่าง ๆ หรือโรงเรียนต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียง
4. บทบาทที่แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้จะมีความสำคัญมากขึ้น
1. การขยายบริการไปสู่รูปแบบของ Virtual Center หรือห้องสมุดในอนาคต
เนื่องจากผลของโครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ทำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งเข้าสู่อินเตอร์เน็ทได้ ดังนั้นความต้องการใช้งานแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ก็จะต้องพัฒนารูปแบบเป็น Virtual Center เพื่อตอบสนองความต้องการในส่วนนี้ที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต
ห้องสมุดในอนาคตก็ยังคงทำหน้าที่ไม่ต่างจากเดิม คือ เป็นแหล่งบริการข้อมูล ข่าวสาร และความรู้ ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีพของมวลชน เพียงแต่รูปแบบการบริการที่จะต้องพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย รูปแบบห้องสมุดในอนาคตได้แก่ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ห้องสมุดดิจิตอล ห้องสมุดเสมือน ห้องสมุดอัตโนมัติ ห้องสมุดลูกผสม ซึ่งในปัจจุบันห้องสมุดดิจิตอล (Digital Library For School Net) ก็เป็นความร่วมมือระหว่างเนคเทค และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำลังร่วมมือพัฒนา และวิทยาลัยดุสิตธานีก็กำลังทำห้องสมุดอัตโนมัติ (Automatic Library)
2. การมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาและการบริหารการเรียนการสอน
แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในประเทศไทยยังมีบทบาทในการพัฒนาและการบริการการเรียนการสอนไม่ชัดเจน แต่เมื่อนโยบายปฏิรูปการศึกษาที่เน้นการศึกษาแบบ child-center และการนำเอาสื่ออิเลคทรอนิกส์มาใช้ทางด้านการศึกษา รวมทั้งแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทยที่เน้นการพัฒนา e-learning ทำให้ต้องเกิดการพัฒนาด้านการเรียนการสอนเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปโดยหน่วยงานกลางในสถานศึกษาที่จะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบงานด้านนี้คือแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
3. มีส่วนร่วมในการประเมินคุณภาพการใช้ IT
เมื่อแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้พัฒนาไปถึงระดับหนึ่งแล้ว บุคลากรเริ่มมีความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมากยิ่งขึ้น ก็จะเข้าสู่กระบวนการของการประเมิน ซึ่งจะต้องเป็นแกนหลักในการประเมินคุณภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและนำมาปรับปรุงการให้บริการและการจัดการทรัพยากรทาง IT ที่คุ้มค่าต่อไป
5. ส่วนการบริหาร และการจัดการ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพให้มากขึ้น
· การวางแผน มีการสำรวจความต้องการของผู้ใช้บริการในด้านต่าง ๆ รวมถึงวิเคราะห์ความพร้อมในด้านต่าง ๆ
· การจัดองค์กร มีการจัดแหล่งการเรียนรู้แยกตามลักษณะของทรัพยากร และจัดระบบให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
· การจัดบุคลากร ควรกำหนดบทบาท หน้าที่รับผิดชอบ รวมทั้งคัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นคณะกรรมการ
· การวินิจฉัยสั่งการ ผู้มีอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการ ควรคำนึงถึงความสะดวก และความต้องการของผู้ใช้บริการเป็นหลัก
· การประสานงาน ควรสร้างหลักความเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ที่มีต่อการจัดระบบ และเชื่อมโยงแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ระหว่างสถาบัน
· การรายงาน ควรศึกษาและประเมินบทบาทแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่มีต่อการจัดการศึกษาของสถาบันอย่างเป็นระบบ ซึ่งเมื่อผู้ใช้บริการสามารถรายงานหรือแจ้งถึงความต้องการ และปัญหาการใช้งานได้ทันที
· การจัดงบประมาณ มีการแสวงหาความช่วยเหลือด้านการเงิน จากองค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
6. ส่วนรูปแบบการบริการ
· ควรจัดหาและผลิตทรัพยากรการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการเรียนรู้
· จัดเจ้าหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ และแนะนำการใช้งานจากแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
· จัดตารางเวลาในการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับวิธีใช้ และการเข้าสู่ระบบเครือข่ายทรัพยากรการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
· ส่งเสริมและสนับสนุน การแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ จากสถาบันต่างประเทศ
· จัดเสนอข่าวสาร วิทยาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่มีส่วนช่วยในกระบวนการเรียนรู้ในรูปของเอกสารและเครือข่าย