วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เทคโนโลยีการศึกษา

แนวโน้มแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
1.ความหมาย
            แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ (Learning resource center) หรือ ศูนย์สื่อการศึกษา (Educational media center) หมายถึง หน่วยงานส่วนกลางที่ให้การสนับสนุนส่งเสริมการจัดสภาพการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการจัดเก็บ การให้บริการ การใช้ทรัพยากรการเรียนรู้ การให้คำปรึกษา รวมถึงการจัดบริเวณที่เป็นสัดส่วนสำหรับความต้องการในการใช้สื่อบางประเภท (UNESCO, 1987 อ้างถึงใน รัตนาภรณ์ ประวัติวัชรา, 2539)
            ปรัชญาและเป้าหมายของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
            1. เพื่อให้การศึกษา การบ่มเพาะกล่อมเกลา และช่วยพัฒนาการเรียนรู้ให้กับผู้สนใจไม่จำกัดความสามารถหรือพื้นฐานการศึกษาไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถเข้าไปแสวงหาความรู้ได้เท่าเทียมกัน
            2. เพื่อบริการสารสนเทศ ช่วยให้ผู้เข้ามาใช้บริการได้รับข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้องอย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์
            3. เพื่อวัฒนธรรมโดยเป็นศูนย์กลางของการเผยแพร่วัฒนธรรม และเป็นแหล่งส่งเสริมการมีส่วนร่วม และความซาบซึ้งในศิลปวัฒนธรรม
            4. เพื่อพักผ่อนและนันทนาการ แหล่งการเรียนรู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อการพักผ่อนและนันทนาการที่ดีที่สุดประการหนึ่งในท้องถิ่น เป็นการช่วยให้ประชาชนได้ใช้เวลาว่างเพื่อการอ่านและแสวงหาความรู้ต่าง ๆ
            ชื่อเรียกต่าง ๆ ของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
            แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ที่มีอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาของไทยในปัจจุบันมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไปแล้วแต่สถาบัน (ไชยยศ เรืองสุวรรณ,2526 อ้างถึงใน รัตนาภรณ์ ประวัติวัชรา,2539) เช่น ศูนย์วิชาการสำนักวิทยาบริการ ห้องสมุด สำนักเทคโนโลยีการศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ศูนย์แหล่งการเรียน ศูนย์บริการโสตทัศนศึกษา เป็นต้น ซึ่งหากพิจารณาตามนิยายว่าหน่วยงานใดจัดเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ได้นั้น นอกจากจะพิจารณาจากการรวบรวมสื่อหลากหลายประเภทแล้ว ยังจะต้องมีการจัดระบบทรัพยากรการเรียนรู้ที่ดี โดยวางแผนดำเนินการและประเมินผลที่ชัดเจน

2. ตัวอย่างของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้ภายในโรงเรียน แบ่งเป็น
1. แหล่งการเรียนรู้ในอาคารเรียน ได้แก่ ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดหมวดวิชา ห้องสมุดเคลื่อนที่ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องศูนย์วิชา ห้องวัฒนธรรมไทย ศูนย์สื่อฯพัฒนาการเรียนการสอน เป็นต้น
2. แหล่งการเรียนรู้นอกอาคาร ได้แก่ สวนสมุนไพร สวนวรรณคดี สวนสุขภาพ สวนธรรม สวนหนังสือ สวนป่า อุทยานวิทยาศาสตร์ ศาลานักอ่าน สวนพฤษศาสตร์ เป็นต้น
3. แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นแหล่งการจัดกิจกรรม แหล่งบริการต่าง ๆ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านการจัดกิจกรรมให้ความรู้ เสริมหลักสูตรในรูปของชุมชน เป็นต้น
แหล่งการเรียนรู้ภายนอกโรงเรียน แบ่งเป็น
¨     แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติทางภูมิศาสตร์ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ลำธาร น้ำตก ทะเลสาบ ภูเขา ป่า อุทยาน สัตว์ป่า สภาพแวดล้อมรอบตึก เป็นต้น
¨     แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น วิถีการดำรงชีวิต เช่น ผู้รู้ ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำองค์กรท้องถิ่น ผู้นำทางศาสนา นักวิชาการของหน่วยงานราชการ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ เป็นต้น
¨     แหล่งการเรียนรู้ที่สังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน ได้แก่
-          ห้องสมุดประชาชน 801 แห่ง (ห้องสมุดประชาชนจังหวัด 73 แห่ง ห้องสมุดประชาชนอำเภอ 656
แห่ง ห้องสมุด เฉลิมราชกุมารี” 71 แห่ง หอสมุดรัชมังคลาภิเษก 1 แห่ง และห้องสมุดเคลื่อนที่อีกจำนวนหนึ่ง
-          ที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าง 35,289 แห่ง
-          ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน จำนวนละ 1 แห่ง (ปัจจุบันประมาณ 5,870 แห่ง)
-          ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาและเครือข่าย 16 แห่ง
-          ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาและศูนย์ผลิตสื่อประจำภาพ 6 แห่ง
-          สวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 11 แห่ง
¨     แหล่งการเรียนรู้ที่สังกัดกรมศิลปากร ได้แก่
-          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และประจำจังหวัด (จดทะเบียนราว 270 แห่ง)
-          หอสมุดแห่งชาติและจดหมายเหตุ
-          ศูนย์ศึกษา แหล่ง และอุทยานประวัติศาสตร์
¨     แหล่งการเรียนรู้ที่สังกัดกรมศาสนา ได้แก่วัดและศาสนสถานทั่วประเทศซึ่งมีประมาณ 8,000 แห่ง

3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางและแนวโน้มของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
1.      ปัจจัยในระดับนานาชาติ
1.1  พัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
1.2  ความร่วมมือด้านวิชาการในระดับนานาชาติ
2.      ปัจจัยภายในประเทศไทย
2.1  ข้อกำหนดในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 หมวด 9 : เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
2.2  นโยบาย หนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนสมบูรณ์แบบ
2.3  โครงการคอมพิวเตอ์เอื้ออาทร
2.4  แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย พ.. 2545-2549


4. แนวโน้มของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
            1. ในภาพรวมของประเทศจะมีจำนวนแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น และกระจายไปทั่วทั้งประเทศในเวลาอันรวดเร็ว รวมถึงรูปแบบแหล่งการเรียนรู้ใหม่ ๆ
            ในปัจจุบันนี้สถานที่ที่จัดได้ว่าเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้มีอยู่เฉพาะในสถานศึกษาที่มีความพร้อม เนื่องจากการเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ จะต้องประกอบด้วยการรวบรวมสื่อหลากหลายประเภทและต้องมีการจัดระบบทรัพยากรการเรียนรู้ที่ดี โดยวางแผนดำเนินการและประเมินผลที่ชัดเจน ดังนั้นห้องสมุดของโรงเรียนที่มีอยู่จึงมีองค์ประกอบไม่เพียงพอที่จะจัดเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ได้
            ลักษณะของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้น
2. การจัดตั้งแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ เป็นต้น จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการเอื้อของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 โดยจะมีการสร้างให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีความพร้อมและศักยภาพในการเรียนรู้ อีกทั้งจากโครงการหนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนสมบูรณ์แบบก็จะส่งผลให้เกิดแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในระดับโรงเรียนกระจายไปทั่วประเทศ
ยกตัวอย่างลักษณะของพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบของแหล่งการเรียนรู้ในอนาคต ได้แก่
·       การมีส่วนร่วมในสังคม เป็นเรื่องของการส่งเสริม และให้บริการ การอำนวย
·       ความสะดวกแก่ผู้เข้าชมทุกประเภท
·       การให้ผู้ชมเข้าถึงความรู้ในวัตถุของที่จัดแสดงให้มากที่สุด
·       พิพิธภัณฑ์ต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เพื่อให้ผู้ชมเข้าถึง
·       การบริการ
·       การแสดงแบบรายการ (Catalog) และเอกสารสำคัญ ๆ เป็นแบบเชื่อมตรงผ่าน
·       อินเตอร์เน็ต
·       การให้การบริการเสริมแก่ทุกพื้นที่
·       พิพิธภัณฑ์ควรปรึกษาหารือกับกลุ่มคนที่อยู่ในภาวะถูกกีดกันจากสังคมเพื่อรับรู้ปัญหา
·       และจัดการบริการจากสังคมเพื่อรับรู้ปัญหาและจัดการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของบุคคลเหล่านี้
·       ผลงานจัดแสดงสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรม
·       พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และหอจดหมายเหตุ เป็นสถานที่เรียนรู้ในชุมชน
·       พิพิธภัณฑ์เป็นศูนย์ความร่วมมือขององค์กรต่าง ๆ
2. ห้องสมุดมีชีวิต หรือห้องสมุดธรรมชาติ : สิ่งที่เรียนรู้จากชุมชนมีมากมาย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆ ในชุมชน ประวัติประเพณี พิธีกรรมของชุมชน แหล่งการเรียนรู้ทางศาสนา วัฒนธรรม งานอาชีพ การประกอบอาชีพในชุมชน ซึ่งอาจจะเปรียบได้กับห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดและเป็นความจริงที่กำลังเกิดขึ้น
3. ลักษณะของทรัพยากรและการให้บริการ จะมุ่งสู่รุปแบบอิเลคทรอนิคส์มากขึ้น และเป็นระบบอัตโนมัติ

            ลักษณะดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นได้เนื่องจากมีปัจจัยเกื้อหนุนดังต่อไปนี้
1)      การพัฒนาทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น อุปกรณ์ต่าง ๆ ราคาถูกลง ประกอบกับในประเทศไทยมีโครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ซึ่งส่งผลให้ราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วประเทศตกลงมาอยู่ในวิสัยที่สถานศึกษาในระดับเล็ก ๆ ก็สามารถจัดหามาไว้ใช้งานได้ ซึ่งคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้การให้บริการอิเลคทรอนิกส์เกิดขึ้นได้ และในทางปฏิบัติแล้วไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องราคาแพง ควรเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถเหมาะสมกับลักษณะงานที่ให้บริการมากกว่า
2)      โครงการแบ่งปันข้อมูลอิเลคทรอนิกส์ในลักษณะต่าง ๆ ทำให้การลงทุนด้านข้อมูลไม่สูงอย่างในอดีต เช่น โครงการ UNINET หรือ Schoolnet ที่มีการซื้อฐานข้อมูลอิเลคทรอนิกส์ดี ๆ ในลักษณะของ countrt-licensed ทำให้เครือข่ายสามารถให้บริการข้อมูลจากฐานข้อมูลชั้นนำเหล่านี้ได้
3)      ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศ ที่มีเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน รูปแบบความร่วมมือทางวิชาการของประเทศไทยกับต่างประเทศนั้น มีทั้งแบบแลกเปลี่ยนและรับการถ่ายทอดดังนั้นทรัพยากรการเรียนรู้บางส่วนจะถูกกำหนดโดยเงื่อนไขนี้ ยกตัวอย่างเช่น โครงการแลกเปลี่ยนบทเรียนทางไกลซึ่งต่างประเทศได้เตรียมไว้ในรูปแบบอิเลคทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหากประเทศไทยต้องการเข้าร่วมโครงการนี้ก็จำเป็นต้องปรับบทเรียนให้เป็นแบบอิเลคทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน ซึ่งแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ก็จะมีบทบาททั้งการร่วมพัฒนาสื่อใหม่ ๆ เหล่านี้
3. มีการสร้างเครือข่ายของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ที่มีความร่วมมือกันมากขึ้น
            มีการสร้างเครือข่ายของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ โดยให้ประชาชนทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงความรู้และสามรถเรียนรู้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ต่อเนื่องตลอดชีวิต จึงมีการดึงชุมชน ครอบครัว สถาบันและองค์กรต่าง ๆ มาสร้างแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ขึ้น เพื่อจัดกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ในเชิงประสบการณ์และพัฒนาชีวิต ตามความต้องการของผู้เรียนเอง ซึ่งแนวความคิดนี้สอดคล้องกับมาตรา 29 ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 แม้ว่าปัจจุบันเครือข่ายแหล่งความรู้จะมีบ้างแล้ว เช่น PULINET (A Plan for the Establishment of Provincial University Library Network) เป็นเครือข่ายห้องสมุดมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค THAILINET M (Thai Academic Library Network Metropolitan) เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของห้องสมุดมหาวิทยาลัยส่วนกลาง SCHOOLNET   เป็นเครือข่ายโรงเรียนทั่วประเทศ และ UNINET เป็นเครือข่ายของทบวงมหาวิทยาลัย แต่พบว่าหน้าที่หลักของเครือข่ายดังกล่าวเป็นรูปของส่วนกลางเป็นผู้ให้ กล่าวคือ ส่วนกลางจัดหาข้อมูลแล้วกระจายไปในเครือข่าย ทำให้เกิดภาวะผู้ให้ และผู้รับ ไม่เกิดภาวะการณ์พัฒนาซึ่งกันและกัน และความร่วมมือเป็นไปในแบบทางเดียว ซึ่งความเป็นจริงก็ไม่ใช้สิ่งที่เกิดความคาดหมาย เนื่องจากสมาชิกในแต่ละเครือข่ายดังกล่าว ก็มีความสามารถในอยู่อย่างเอกเทศได้อยู่แล้ว เช่น มหาวิทยาลัยต่าง ๆ หรือโรงเรียนต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียง
4. บทบาทที่แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้จะมีความสำคัญมากขึ้น
1.      การขยายบริการไปสู่รูปแบบของ Virtual Center หรือห้องสมุดในอนาคต
เนื่องจากผลของโครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ทำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งเข้าสู่อินเตอร์เน็ทได้ ดังนั้นความต้องการใช้งานแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ก็จะต้องพัฒนารูปแบบเป็น Virtual Center เพื่อตอบสนองความต้องการในส่วนนี้ที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต
ห้องสมุดในอนาคตก็ยังคงทำหน้าที่ไม่ต่างจากเดิม คือ เป็นแหล่งบริการข้อมูล ข่าวสาร และความรู้ ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีพของมวลชน เพียงแต่รูปแบบการบริการที่จะต้องพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย รูปแบบห้องสมุดในอนาคตได้แก่ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ห้องสมุดดิจิตอล ห้องสมุดเสมือน ห้องสมุดอัตโนมัติ ห้องสมุดลูกผสม ซึ่งในปัจจุบันห้องสมุดดิจิตอล (Digital Library For School Net) ก็เป็นความร่วมมือระหว่างเนคเทค และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำลังร่วมมือพัฒนา และวิทยาลัยดุสิตธานีก็กำลังทำห้องสมุดอัตโนมัติ (Automatic Library)
2.      การมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาและการบริหารการเรียนการสอน
แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในประเทศไทยยังมีบทบาทในการพัฒนาและการบริการการเรียนการสอนไม่ชัดเจน แต่เมื่อนโยบายปฏิรูปการศึกษาที่เน้นการศึกษาแบบ child-center และการนำเอาสื่ออิเลคทรอนิกส์มาใช้ทางด้านการศึกษา รวมทั้งแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทยที่เน้นการพัฒนา e-learning ทำให้ต้องเกิดการพัฒนาด้านการเรียนการสอนเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปโดยหน่วยงานกลางในสถานศึกษาที่จะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบงานด้านนี้คือแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
3.      มีส่วนร่วมในการประเมินคุณภาพการใช้ IT
เมื่อแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้พัฒนาไปถึงระดับหนึ่งแล้ว บุคลากรเริ่มมีความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมากยิ่งขึ้น ก็จะเข้าสู่กระบวนการของการประเมิน ซึ่งจะต้องเป็นแกนหลักในการประเมินคุณภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและนำมาปรับปรุงการให้บริการและการจัดการทรัพยากรทาง IT ที่คุ้มค่าต่อไป
5. ส่วนการบริหาร และการจัดการ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพให้มากขึ้น
·       การวางแผน มีการสำรวจความต้องการของผู้ใช้บริการในด้านต่าง ๆ รวมถึงวิเคราะห์ความพร้อมในด้านต่าง ๆ
·       การจัดองค์กร มีการจัดแหล่งการเรียนรู้แยกตามลักษณะของทรัพยากร และจัดระบบให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
·       การจัดบุคลากร ควรกำหนดบทบาท หน้าที่รับผิดชอบ รวมทั้งคัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นคณะกรรมการ
·       การวินิจฉัยสั่งการ ผู้มีอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการ ควรคำนึงถึงความสะดวก และความต้องการของผู้ใช้บริการเป็นหลัก
·       การประสานงาน ควรสร้างหลักความเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ที่มีต่อการจัดระบบ และเชื่อมโยงแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ระหว่างสถาบัน
·       การรายงาน ควรศึกษาและประเมินบทบาทแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่มีต่อการจัดการศึกษาของสถาบันอย่างเป็นระบบ ซึ่งเมื่อผู้ใช้บริการสามารถรายงานหรือแจ้งถึงความต้องการ และปัญหาการใช้งานได้ทันที
·       การจัดงบประมาณ มีการแสวงหาความช่วยเหลือด้านการเงิน จากองค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
6. ส่วนรูปแบบการบริการ
·       ควรจัดหาและผลิตทรัพยากรการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการเรียนรู้
·       จัดเจ้าหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ และแนะนำการใช้งานจากแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
·       จัดตารางเวลาในการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับวิธีใช้ และการเข้าสู่ระบบเครือข่ายทรัพยากรการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
·       ส่งเสริมและสนับสนุน การแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ จากสถาบันต่างประเทศ
·       จัดเสนอข่าวสาร วิทยาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่มีส่วนช่วยในกระบวนการเรียนรู้ในรูปของเอกสารและเครือข่าย

วิถีไทย

ภูมิปัญญาชาวบ้านเพื่อการพัฒนาชุมชนและสังคมไทย
จำนงค์  แรกพินิจ *
1        แนวคิดสองกระแส
ในช่วงที่เพิ่งผ่านมานี้ ความล้มเหลวของการพัฒนาประเทศไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งทั่วโลกที่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งมีวิธีคิดแบบแยกส่วน เน้นความเติบโตของเศรษฐกิจระดับมหาภาค ขาดความสนใจผู้คนและชุมชนที่ถือเป็นฐานรากของประเทศ แม้ว่าวัฒนธรรมนี้ได้วางรากฐานทางวัตถุแก่โลกนานัปการ โลกที่เคยกว้างใหญ่ไพศาลกลับเล็กลงด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม ประชากรแทบทุกส่วนในโลกสามารถติดต่อและได้รับผลกระทบซึ่งกันและกัน   จนโลกปัจจุบันมีสภาพไร้พรมแดน หรือโลกาภิวัฒน์ (Globalization)
แต่อีกด้านของความเติบโตทางวัตถุก็ก่อให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจำนวนมหาศาล และที่สำคัญคือ ผู้คนได้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ไร้ศักดิ์ศรี และรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะถูกตัดขาดจากกันทางสังคม ทำให้เกิดแนวคิดอีกกระแสหนึ่งขึ้นเรียกว่า กระแสชุมชนท้องถิ่น (Localization) ที่ให้ความสำคัญแก่คนและชุมชนในการกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับสังคมวัฒนธรรมของตน เพื่อให้สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความหมาย มีค่าและมีศักดิ์ศรี เป็นแนวคิดที่มองทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันแบบองค์รวม
ในช่วง 20 กว่าปีมานี้ การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาประเทศ อันเป็นผลจากการปะทะกันระหว่างแนวคิดสองกระแสดังกล่าวได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในสังคมของเรา  การนำเสนอประสบการณ์ของชาวบ้านและชุมชนในทุกส่วนของประเทศที่ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาบนพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรมได้เรียกร้องให้ผู้คนหันกลับมาทบทวนแนวคิดและแนวทางการพัฒนาประเทศใหม่ จนกระทั่งแนวคิดใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเคยเป็นกระแสรองมาก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นกระแสหลักของการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน
การนำแนวคิดใหม่มาใช้ในการพัฒนาประเทศ จะเกิดขึ้นไม่ได้ภายใต้การกฎเกณฑ์ และกติกาการพัฒนาประเทศแบบเก่า ด้วยเหตุนี้ การแก้ไขระเบียบกฎหมายของประเทศเพื่อให้สอดรับกับทิศทางใหม่นี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น เห็นได้จากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเมื่อปี พ..2540 ที่กำหนด
2        พัฒนาการของภูมิปัญญาชาวบ้าน
ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในช่วงที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ทิศทางการพัฒนาประเทศกำลังแพร่หลายในสังคมไทย หรือเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ผลจากการปะทะกันของความคิดสองกระแสดังกล่าวข้างต้น ช่วยให้สังคมไทยมีโอกาสทบทวนแนวคิดและทิศทางการพัฒนาในอดีต แสวงหาทางเลือกที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสังคมของเรา
การพัฒนาชนบท ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คนจำนวนมากที่สุดในประเทศไทยนั้น แต่เดิมเป็นหน้าที่หรืองานของรัฐ กิจกรรมหรืองานพัฒนาในยุคแรกๆเกิดขึ้นบนพื้นฐานการมองประชาชนในฐานะโง่ จน เจ็บ ขาดความรู้เรื่องการทำมาหากิน ล้าหลัง ไม่ทันสมัย และด้อยพัฒนา เจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐจึงมีหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือคนเหล่านั้นให้มีความรู้และรายได้เพิ่มขึ้น โดยการฝึกอบรมอาชีพ จัดหาแหล่งทุน และบางครั้งก็ช่วยจัดการด้านการตลาด บทบาทของชาวบ้านเป็นเพียงผู้รับ ส่วนรัฐเป็นผู้ให้ แนวทางการพัฒนานี้ได้กลายเป็นหลักในการทำงานในช่วง 20 ปีแรกของการพัฒนาชนบทไทย คือระหว่าง พ..2503-2523
แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว แนวคิดในการพัฒนาชนบทไทยจะเปลี่ยนไปบ้าง จากการเน้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้ให้ประชาชนมาเป็นแนวเศรษฐกิจ-สังคม เพราะเห็นว่าการพัฒนาต้องกะทำควบคู่กันทั้งสองด้าน จึงนำเรื่องกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่วิธีทำงานก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิม คือหน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กำหนดและมีบทบาทสำคัญเหนือชาวบ้านตลอดมา
3        ความหมายของภูมิปัญญาชาวบ้าน

3.1     การให้ความหมาย  นักวิชาการและผู้ที่เกี่ยวข้อง สนใจงานด้านภูมิปัญญาต่างเห็นพ้องต้องกันในการให้ความหมายภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ให้ความสำคัญต่อองค์ความรู้  ความรู้ และความรอบรู้ในด้านต่างๆของชาวบ้าน และชาวบ้านสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้แก้ปัญหาที่ต้องประสบในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ชีวิต ครอบครัว และชุมชนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข หรือเกิดดุลยภาพในทุกระดับ

3.2     องค์ประกอบ การให้ความหมายดังกล่าวข้างต้น ทำให้สามารถแยกองค์ประกอบของภูมิปัญญาชาวบ้านให้เห็นเด่นชัดขึ้น ดังนี้
1)  องค์ความรู้  หมายถึง ความรู้หลายอย่างมาเชื่อมโยงกันเป็นชุดความรู้  ด้วยเหตุนี้ กิจกรรมใดของชาวบ้านจะถูกยกให้เป็นกิจกรรมทางภูมิปัญญาก็ต่อเมื่อได้รับการพิสูจน์แล้วว่ากิจกรรมนั้นเกิดจากองค์ความรู้ ไม่ใช่ความรู้เดียว
ตัวอย่าง เกษตรธาตุสี่ ของนายหรน  หมัดหลี  อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา  นายหรน  หมัดหลีเริ่มต้นทำการเกษตรจากการรู้จักชีวิตและครอบครัวของตัวเอง ในฐานะเกษตรกรยากจน เขาต้องรู้จักพืชที่ต้องการจะปลูกทุกชนิดเป็นอย่างดี และนำความรู้เหล่านั้นมาวางแผนการเพาะปลูก พืชชนิดใดจะให้ผลภายใน 1 เดือน  3 เดือน  6 เดือน  และ12 เดือน เพื่อให้ครอบครัวมีอาหารและรายได้ตลอดปี 
นอกจากนั้น นายหรน  หมัดหลียังมีความรู้เรื่องดิน ก่อนปลูกพืชทุกชนิดต้องมีการทดสอบว่าเหมาะสมกับดินบริเวณนั้นหรือไม่ มีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและสังคมของพืช  ความรู้นี้มีพื้นฐานมาจากการร่ำเรียนแพทย์แผนไทย ทำให้เขามองพืชทุกชนิดว่ามีธาตุสี่ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ เช่นเดียวกับคน และได้ใช้ความรู้นี้มาวางหลักในการเพาะปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น หลักในการปลูกก็คือการนำพืชที่มีลักษณะตรงข้ามกันมาปลูกในหลุมเดียวกัน เช่น พืชที่มีธาตุน้ำต้องปลูกคู่กับพืชที่มีธาตุไฟ เป็นต้น การปลูกพืชในลักษณะนี้จะไม่ทำให้ต้นไม้แต่ละชนิดส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ต้นไม้แต่ละชนิดต่างให้ดอกผลตามธรรมชาติของมันเอง
นายหรน  หมัดหลี เห็นว่าไม้ผลพันธุ์ดี เช่น ทุเรียนหมอนทองมีราคาแพง คนยากจนไม่มีกำลังซื้อ เขาจึงปลูกทุเรียนพื้นบ้าน ซึ่งมีราคาถูก ทำให้คนจนในชุมชนสามารถซื้อไปบริโภคได้ ตลาดของเขาจึงอยู่ที่หมู่บ้าน ไม่ใช่การส่งออกสู่เมืองใหญ่ หรือต่างประเทศ ตลาดของนายหรน  หมัดหลีจึงเป็นตลาดของคนยากคนจน หวังพึ่งตนเอง ทำให้เขาไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของพ่อค้า
การเชื่อมโยงความรู้หลายด้านนี้เข้าด้วยกัน กลายเป็นองค์หรือชุดความรู้ด้านการเกษตรของนายหรน  หมัดหลี ที่เรียกว่า เกษตรกรรมธาตุสี่
2)  เทคนิค หรือวิธีการ หมายถึง กลวิธีหรือการจัดการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สอดคล้องกับองค์ความรู้ เทคนิคหรือวิธีการจะมีความแตกต่างกันออกไปตามประเภทของภูมิปัญญา เช่น เทคนิคการผลิต เทคนิคการจัดการ และเทคนิคการเชื่อมประสานความสัมพันธ์ เป็นต้น
            ตัวอย่าง  จากองค์ความรู้ด้านการเกษตรธาตุสี่ ดังกล่าวแล้วข้างต้น นายหรน  หมัดหลีได้นำมาปฏิบัติผ่านทางเทคนิคหรือวิธีเพาะปลูกพืช  ในช่วงแรก เขาเริ่มปลูกพริก มะเขือ แตงกวา และตะไคร้ จากนั้นจึงปลูกกล้วย และไม้ผลไม้ยืนต้นอื่นๆตามมา โดยเฉพาะไม้ผลไม้ยืนต้น จะปลูกหลุมละ 3 ต้น แต่ละต้นมีธาตุต่างกันตามหลักการเพาะปลูกที่กล่าวข้างต้น นอกจากนั้น นายหรน  หมัดหลียังคำนึงถึงความสูง รูปทรง และลักษณะการให้ดอกออกผลของไม้แต่ละต้นที่นำมาปลูกร่วมกัน
            ในด้านการดูแลหรือบำรุงรักษาต้นไม้ นายหรน  หมัดหลีมีวิธีปฏิบัติที่สอดคล้องกับธรรมชาติ เช่น ไม่ถางหญ้าในหน้าแล้ง ใช้ปุ๋ยจากซากพืชซากสัตว์ที่เน่าเปื่อย และไม่ตัดแต่งกิ่ง เพราะเชื่อว่าธรรมชาติจะจัดการสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวมันเอง กล่าวคือกิ่งที่อยู่ไม่ได้ ไม่เหมาะสมก็จะร่วงหล่นไปเอง
            ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคหรือวิธีการเพาะปลูกพืช ที่ทำให้สวนของนายหรน หมัดหลีมีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากสวนของเกษตรกรอื่นๆ แต่สอดคล้องกับองค์ความรู้ของตนที่สั่งสมมา
3)  การรับใช้ชีวิตในปัจจุบัน  ภูมิปัญญาชาวบ้านไม่ใช่เรื่องเล่าในอดีต ไม่ใช่ของเก่าที่แสดงในพิพิธภัณฑ์ แต่เป็นสิ่งที่มีตัวตน และผ่านการพิสูจน์แล้วว่าสามารถรับใช้วิถีชีวิตผู้คนในปัจจุบัน หรือมีพลังในสังคมยุคใหม่
การทำการเกษตรแบบธาตุสี่ของนายหรน  หมัดหลีได้พิสูจน์ให้เห็นว่าครอบครัวของเขามีอาหาร มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และส่งเสียลูกจำนวน 11 คนให้ได้รับการศึกษาอย่างถึง และเกือบทั้งหมดเรียนจบระดับอุดมศึกษา  และการเกษตรแบบนี้ยังได้กลายเป็นตัวแบบหรือแบบอย่างที่ดีที่เกษตรกรทั่วประเทศเดินทางมาเรียนรู้อย่างไม่ขาดสาย
การพิจารณาองค์ประกอบของภูมิปัญญาชาวบ้าน ในฐานะความรู้ที่กล่าวนี้ ทำให้สามารถวิเคราะห์ต่อไปได้ว่า ภูมิปัญญาชาวบ้านน่าจะเป็นคำเดียวกับเทคโนโลยีชาวบ้าน เพราะเทคโนโลยีได้รวมเอาความรู้และเทคนิคไว้ด้วยกัน เทคโนโลยีไม่ใช่เครื่องมือ หรือเครื่องใช้ไม้สอยเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การหมักปลาร้าในภาคอีสาน น้ำปูในภาคเหนือ และน้ำบูดูในภาคใต้ต่างเป็นภูมิปัญญาและเทคโนโลยีในตัวมันเอง

          3.3  ประเภทของภูมิปัญญาชาวบ้าน ในฐานะของความรู้ ภูมิปัญญาชาวบ้านสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1)  ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เป็นนามธรรม ได้แก่ โลกทัศน์และชีวทัศน์ เป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิต เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คุณค่าและความหมายของทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน
2)   ภูมิปัญญาชาบ้านที่เป็นรูปธรรม หรือแบบแผนความประพฤติปฏิบัติ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะด้าน เช่น การทำมาหากิน การเกษตร หัตถกรรม ศิลปะและอื่นๆ

3.3  ภูมิปัญญาชาวบ้านเชิงกระบวนการ  นอกจากการพิจารณาภูมิปัญญาชาวบ้านในฐานะความรู้แล้ว อีกแง่หนึ่งสามารถพิจารณาได้ในเชิงกระบวนการ ซึ่งจะสอดคล้องกับสภาวะของภูมิปัญญาที่มีลักษณะเลื่อนไหล หรือพลวัตสูง ไม่หยุดนิ่งตายตัว และมีพัฒนาการตลอดเวลา
การพิจารณาภูมิปัญญาชาวบ้านเชิงกระบวนการนี้ ควรเริ่มต้นวิเคราะห์ให้เห็นการปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมสองกระแส กระแสแรกคือ วัฒนธรรมหรือแนวคิดเก่า ซึ่งเป็นสภาวะที่ดำรงอยู่ในขณะนั้น และการเข้ามาของวัฒนธรรมหรือแนวคิดใหม่ ซึ่งจะมีลักษณะขัดแย้งกัน การปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมหรือสภาวะทั้งสองกระสนี้จะนำไปสู่การปรับตัวของชาวบ้านเพื่อความอยู่รอด ผลจากการปรับตัวนี้จะนำไปสู่กระแสที่สาม หรือกระแสทางเลือก อันเป็นผลจากการสังเคราะห์วัฒนธรรมสองกระแสเข้าด้วยกัน กระแสที่สามหรือกระแสทางเลือกนี้จะช่วยลดความขัดแย้งและลดการกวัดแกว่งในวิถีชีวิตของผู้คน เกิดความราบรื่นในการดำเนินชีวิต ซึ่งรวมถึงการสืบทอดวัฒนธรรมหรือคุณค่าของสังคมให้ดำรงต่อไป
ตัวอย่าง  การใช้แรงงานของชาวบ้านในจังหวัดสงขลา ที่ได้พัฒนาระบบแลกเปลี่ยนแรงงานของตนขึ้น เพื่อรองรับการเข้ามาของระบบเกษตรกรรมแบบใหม่
ในอดีต ชาวบ้านในภาคใต้มีวัฒนธรรม-ประเพณีอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงาน คือการออกปาก-กินวาน ซึ่งเทียบได้กับการลงแขกในภาคกลาง เอามื้อในภาคเหนือ และเอาแฮงในภาคอีสาน การออกปาก-กินวานก็คือ การขอแรงหรือออกปากหรือวานให้เพื่อนบ้านมาช่วยทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นงานเร่งด่วนให้เสร็จทันเวลา เมื่อออกปากหรือวานคนอื่นมาช่วยงาน เจ้าของงานหรือเจ้าภาพหรือผู้ออกปากจะต้องจัดเตรียมอาหารคาวหวานไว้เลี้ยงดูผู้ที่มาช่วยงาน ทำให้เกิดคำซ้อนขึ้นมาอีกคำคือ กินวาน  แรงงานจากการออกปาก-กินวานนี้จะใช้เกือบทุกโอกาส เช่น งานในเรือกสวน ไร่ นา การสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย และงานประเพณี-พิธีกรรมต่างๆที่ถูกกำหนดด้วยเวลา เป็นต้น
ต่อมาเมื่อชาวบ้านในภาคใต้ โดยเฉพาะชาวสวนยางพาราต้องต้อนรับการเข้ามาของวัฒนธรรมใหม่ คือระบบเกษตรกรรมแบบพืชเดี่ยว หรือการทำสวนยางพันธุ์ดี ที่ต้องใช้แรงงานแบบเข้มข้น โดยมีระบบแรงงานใหม่ คือการจ้างงาน ซึ่งเป็นระบบการแลกเปลี่ยนแบบต่างตอบแทน โดยใช้หลักเหตุและผลทางเศรษฐกิจเข้ามาเป็นตัวกำหนด เข้ามาเป็นฐานรองรับการทำสวนยางแบบใหม่
4        ลักษณะของภูมิปัญญาชาวบ้าน
ภูมิปัญญาชาวบ้านทั้งในฐานะความรู้และกระบวนการจะมีลักษณะโดยรวม ดังนี้
1)      เป็นรวมที่เกี่ยวกับองค์ความรู้ เทคนิค และมีพลังในสังคมปัจจุบัน
2)  แสดงระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
3)      เป็นองค์รวม หรือเชื่อมโยงกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต
4)  เป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ การปรับตัว การเรียนรู้เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชน และสังคม
5)      เป็นแกนหลักหรือกระบวนทัศน์ในการมองชีวิต และเป็นพื้นฐานความรู้ในเรื่องต่างๆ
6)      มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับสมดุลในการพัฒนาทางสังคมตลอดเวลา
7)      มีลักษณะเฉพาะหรือเอกลักษณ์ในตัวเอง

5        ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการของภูมิปัญญาชาวบ้าน
1)      ความรู้เดิมในเรื่องนั้นๆ ผสมผสานกับความรู้ใหม่ที่ได้รับ
2)      การสั่งสมและการสืบทอดความเรื่องในเรื่องนั้นๆ
3)      ประสบการณ์เดิมที่สามารถเทียบเคียงกับเหตุการณ์หรือประสบการณ์ใหม่
4)      สถานการณ์ที่ไม่มั่นคง หรือมีปัญหาที่ยังหาทางออกไม่ได้
5)      รากฐานทางพระพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่นๆที่ผู้คนยึดถือ


วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

การพูดในที่ชุมชน


ความรู้เบื้องต้นในการพูด
วัตถุประสงค์ในการพูด
1.      เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสาร
2.      เพื่อสร้างความเข้าใจ
3.      เพื่อให้เกิดความเชื่อ เห็นคล้อยตาม
4.      เพื่อให้กระทำตามที่ต้องการ
5.      เพื่อบรรยากาศที่ดี

โอกาสในการพูด
1.      การพูดต่อที่ชุมชน
2.      การพูดปราศรัยในงานต่างๆ
3.      การสอน การบรรยาย
4.      การนำเสนอ
5.      การอภิปราย ปาฐกถา โต้วาที
6.      การพูดจูงใจ
7.      การประชุม

แบบในการพูด
-          ท่องจำ
-          อ่านจากร่าง
-          พูดตามหัวข้อ
-          พูดโดยไม่เตรียมตัว (พูดในสถานการณ์เฉพาะหน้า)

องค์ประกอบในการพูดให้จับใจผู้ฟัง
            องค์ประกอบที่สำคัญในการพูดให้จับใจผู้ฟัง มี 3 ส่วน คือ
1.      ผู้พูด
ประกอบด้วยเรื่องที่ต้องรู้ดังนี้
-          บุคลิกลักษณะ
-          การเตรียมตัว
2.      เนื้อหา
ประกอบด้วยเรื่องที่สำคัญคือ
-          การรวบรวมข้อมูล
-          การสร้างโครงเรื่อง
-          การใช้ถ้อยคำภาษา
-          การใช้สื่อ
-          การทดสอบความพร้อม
3.      ผู้ฟัง
-          วิเคราะห์ผู้ฟัง  เพื่อเตรียมตัวพูด

บุคลิกลักษณะที่ดีของผู้พูด
              ลักษณะที่ดี 10 ประการของผู้พูด
1.      รูปร่างหน้าตา
การดูแลรูปร่างหน้าตาให้ดูดี จะช่วยสร้างความพอใจและความยอมรับจากผู้ฟังหรืออย่าง
น้อยก็ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้านจากผู้ฟัง จึงเป็นสิ่งที่ผู้พูดไม่ควรละเลย
เรื่องที่ควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา คือ
-          ความสะอาด
-          ความเรียบร้อย
-          การจัดให้ดูดี
2.      การแต่งกาย
ไก่งามเพราะขน  คนงามเพราะแต่ง    ยังคงใช้ได้       สำหรับการเป็นผู้พูดที่ประสบ
ความสำเร็จ เพราะการแต่งกายที่ดี  จะนำมาซึ่งความพอใจและความเชื่อถือของผู้ฟัง
                        การแต่งกายที่ดี ควรพิจารณาในเรื่องต่อไปนี้
-          รูปร่าง
-          วัย
-          โอกาส
-          เวลา
-          สถานที่
-          การตกแต่งประดับประดาที่พอดี
-          การสำรวจตรวจสอบความเรียบร้อย
-          ความสุภาพ
3.      น้ำเสียง
  ผู้พูดต้องพูดเสียไม่เบา  หรือดังเกินไป  โดยคำนึงถึงสถานที่และ จำนวนผู้ฟัง  รู้จักใช้เสียง
หนัก  เบา  มีท่วงทีลีลาและจังหวะในการพูด    มีการเน้นย้ำให้สอดคล้องกับเรื่องที่พูด เพื่อการกระตุ้นผู้ฟังให้สนใจตลอดเวลา
4.      สีหน้า
ผู้พูดต้องแสดงสีหน้าให้สอดคล้องกับเรื่องราวที่พูด  พูดเรื่องเศร้าสีหน้าต้องเศร้า โกรธ สี
หน้าต้องโกรธ  พูดจริง หน้าตาต้องจริงจัง  พูดเล่น หน้าตา (น้ำเสียงด้วย) ก็ต้องให้ผู้ฟังรู้ว่าพูดเล่น ฯลฯ  ผู้ฟังจะคล้อยตามผู้พูดเมื่อสีหน้าผู้พูดแสดงความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ
           
5.      สายตา
ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ   ใจของผู้พูดเป็นอย่างไร  ตาก็เป็นอย่างนั้น ผู้พูดต้องสบตา
ผู้ฟัง เพื่อให้รู้สึกว่าผู้พูดกำลังพูดกับผู้ฟัง

6.      ท่าทาง
ผู้พูดต้องพูดจากใจ มีความจริงใจ พูดจากความรู้สึกจริงๆ ท่าทางก็ออกไปโดยอัตโนมัติ
อย่างไปกำหนดท่าทางว่า พูดอย่างนี้อย่างนั้นแล้ว ต้องแสดงท่าทางอย่างนี้อย่างนั้น จะทำให้การพูดสะดุดไม่เป็นธรรมชาติ แต่พึงระวัง ในระหว่างที่กำลังพูดอย่าล้วง แคะ แกะ เกา จะทำให้ผู้ฟังไปสนใจกิริยาท่าทางดังกล่าว
7.      ความเชื่อมั่น
ผู้พูดที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จะแสดงความประหม่าให้ผู้ฟังเห็น นอกจากการพูดจะ
ไม่คล่องแล้ว ความประทับใจของผู้ฟังก็จะไม่เกิดขึ้น  ผู้พูดต้องแสดงความเชื่อมั่นให้กับตนเอง คือ ต้องศึกษาหลักการพูด  วิเคราะห์ผู้ฟัง  เตรียมเนื้อหาและฝึกซ้อมจนพูดได้โดยรู้สึกเป็นธรรมชาติ ปราศจากความประหม่า
8.      ความกระตือรือร้น
ผู้พูดที่ดีต้องพูดอย่างมีชีวิตชีวา ไม่เนือย ไม่เฉื่อย เพราะทฤษฎีของการพูดมีอยู่ว่า ผู้พูด
ต้องเป็นผู้กำหนดท่าทีของผู้ฟัง  นั่นหมายความว่า  หากผู้พูดพูดอย่างกระตือรือร้น ผู้ฟังจะ สนใจและกระตือรือร้นในการฟัง
9.      อารมณ์ขัน
                         ผู้ฟังทุกคนต้องการหาความรู้ ต้อการฟังเรื่องที่มีสาระ แต่ในขณะเดียวกัน  ก็ต้องการความ
สนุกสนานด้วย  หากผู้พูดมีอารมณ์ขัน และใช้อารมณ์ขันให้เหมาะสม กับเรื่องกับโอกาสแล้ว จะประสบความสำเร็จในการพูดเป็นอย่างยิ่ง  ผู้ฟังจะพอใจและประทับใจและมีอารมณ์ร่วมตลอดเวลา อารมณ์ขันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้พูดมีอารมณ์แจ่มใส มองคนมองโลกในแง่ดี สะสมตัวอย่างตลกขำขัน ไว้มากมายสามารถจะดึงมาให้ได้อย่างไม่หมดสิ้น
10.  ปฏิภาณไหวพริบ
เพื่อใช้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น  การฝึกฝนให้มีปฏิภาณไหวพริบ จะช่วยคลี่คลาย
สถานการณ์ ทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี หรือผ่อนคลายจากหนักเป็นเบาลงได้

การเตรียมตัวในการพูด
                        ปัจจัยสำคัญของนักพูดที่ประสบความสำเร็จก็คือ    การเตรียมตัว  การเตรียมตัวเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่ผู้พูดพึงตระหนักและเข้าใจอย่างถ่องแท้  มักจะเคยเห็นกันอยู่เสมอว่านักพูดบางคนเตรียมตัวมาแล้ว แต่เมื่อขึ้นเวทีพูด ก็ยังเกิดความผิดพลาดและความล้มเหลวอยู่ดี ที่เป็นเช่นนี้เพราะการเตรียมนั้นยังไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้อง

ในการเตรียมการพูด ขอให้พิจารณาในเรื่องต่อไปนี้

1.      ผู้พูดเป็นใคร ?
หมายถึง  การวิเคราะห์ตัวผู้พูด 2 ประการ ดังนี้
1.1  ผู้พูดเป็นใครสำหรับผู้ฟัง  ต้องวิเคราะห์ว่าตัวเราเป็นดังนี้หรือไม่
-          รู้จักกับผู้ฟังดี
-          เป็นคนมีชื่อเสียง
-          ผู้ฟังเคยฟัง หรือติดตามการพูดมาก่อน
-          ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อนเลย
ถ้าผู้ฟังรู้จัก หรือพอจะรู้จัก ย่อมถือเป็นข้อได้เปรียบในการพูด
1.2  ผู้พูดมีความถนัดในเรื่องที่พูดมากน้อยแค่ไหน มีบุคลิกลักษณะการพูดอย่างไร
-          เป็นนักพูดสนุกสนาน สร้างบรรยากาศ
-          เป็นนักพูดเอาจริงเอาจัง
-          เป็นนักพูดวิชาการ
-          เป็นนักพูดแบบพูดไปเรื่อยๆ
2.      พูดกับใคร ?
หมายถึง  การวิเคราะห์ผู้ฟัง  ดังคำกล่าวที่ว่า  รู้เขารู้เรา  รบร้อยครั้ง  ชนะทั้งร้อยครั้ง
3.      พูดอะไร ?
ผู้พูดต้องทราบถึงรายละเอียดของการพูดอย่างชัดเจน  ต้องทำความเข้าใจกับหัวข้อที่จะพูดอย่าง
ชัดเจนเพื่อใช้ในการเตรียมการพูด   นักพูดที่มีความพิถีพิถัน ในการพูดมักไต่ถามผู้จัดว่าจะ ให้พูดในรายละเอียดไปทางด้านใดบ้าง  ผู้ฟังอยากรู้อะไรเป็นพิเศษ   เพื่อความสะดวกในการเตรียมการพูดตรงกับความต้องการของผู้ฟัง    บางครั้งผู้พูดรับทราบหัวข้อการพูดไม่ชัดเจนนำไปเตรียมตัวตามความเข้าใจของตนเอง  อาจทำให้ผิดวัตถุประสงค์ของผู้จัดอย่างสิ้นเชิง
4.      พูดเมื่อไร ?
การวิเคราะห์โอกาสและเวลาในการพูดเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่ง ความล้มเหลวในการพูดอาจมีสาเหตุมาจากโอกาสและเวลาของการพูดไม่เหมาะสมก็ได้

แนวทางในการวิเคราะห์ ควรพิจารณาถึงสิ่งต่อไปนี้
4.1  ความสนใจพิเศษของผู้ฟังมีหรือไม่  การพูดในช่วงที่ผู้ฟังมีความสนใจอะไรอยู่เป็นพิเศษ 
ผู้พูดควรดึงเอาเหตุการณ์ที่มีผู้ฟังสนใจมาประกอบกับเรื่องที่พูดอย่างผสมผสานจะเพิ่มความสนใจในเรื่องที่พูดมากยิ่งขึ้น
4.2  พูดเนื่องในโอกาสอะไร  เพื่อเตรียมรับสถานการณ์การพูดได้อย่างถูกต้อง
4.3  ลำดับรายการเป็นอย่างไร  ก่อนหน้าที่จะมีการพูดรายการนี้ มีรายการอะไรมาก่อน ผู้ฟัง
ประทับใจหรือไม่น่าสนใจ รายการต่อจากการพูดเป็นที่น่าสนใจของผู้ฟังมากน้อยแค่ไหน รายการก่อนหลังนี้ มีผลกระทบถึงจิตใจและอารมณ์ของผู้ฟังให้เปลี่ยนแปลงไปได้
                        4.4  เวลาที่พูดเป็นเวลาอะไร  บรรยากาศในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกัน การพูดในตอนเช้าผู้ฟังยังมีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า  พูดเวลากลางวันอากาศมักร้อน  ผู้ฟังบางคนหิวมีอาการกระสับกระส่าย  เวลาพูดเวลาบ่ายผู้ฟังมักง่วงเหงาหาวนอน   พอตอนเย็นผู้ฟังมักห่วงภาระทางบ้าน และอยากพักผ่อน  พูดตอนกลางคืนผู้ฟังมักไม่อยากจะฟัง อยากจะนอน หรืออยากไปเที่ยว การรู้ช่วงเวลาการพูดจะช่วยให้ผู้พูดให้เหมาะสมกับสถานการณ์เวลาในช่วงนั้น
5.      พูดที่ไหน ?
ผู้พูดพึงรู้จัก และทำความคุ้นเคยกับสถานที่ที่จะพูดพอสมควร   การวิเคราะห์สถานที่ควรยึดหลัก
ต่อไปนี้
5.1  บรรยากาศของสถานที่  ร้อนอบอ้าว หรือมีเครื่องปรับอากาศ มีลดพัดเย็นสบาย ความร้อน
อบอ้าวย่อมทำลายสมาธิของผู้ฟังไปส่วนหนึ่ง
5.2  อุปสรรครบกวน  เช่น  มีคนพลุกพล่านผ่านเข้าออกตลอดเวลา  เสียงรบกวนจากภายนอก
เช่น เสียงรถ  เสียงเรือ  เสียงเครื่องจักร ฯลฯ
5.3  ความสำคัญของสถานที่  เพื่อความสะดวกในการแต่งกาย  การวางตัว
5.4  ความพร้อมของสถานที่ ในเรื่องเครื่องเสียง อุปกรณ์ประกอบการพูดมีครบถ้วนหรือไม่
5.5  ความคุ้นเคยกับสถานที่ ถ้ามีความคุ้นเคยอยู่บ้างย่อมได้เปรียบ แต่ถ้าไม่คุ้นเคยควรหาเวลา
ไปสำรวจก่อนการพูด
6.      พูดอย่างไร ?
เมื่อทราบถึงหัวข้อการพูด  วิเคราะห์ผู้ฟัง  ทราบเวลาและสถานที่พูดเรียบร้อยแล้ว ผู้พูดพึงตัดสินใจ
ว่าจะพูดไปในแนวอย่างไร
วัตถุประสงค์การพูดที่สำคัญมี 4 ประการคือ
6.1  พูดเพื่อการจูงใจ เรียกร้องให้ปฏิบัติตาม
6.2  พูดเพื่อการสอน การบรรยาย
6.3  พูดเพื่อความสนุกสนาน
6.4  พูดเนื่องในโอกาสพิเศษ
ผู้พูดที่มีความคล่องในสถานการณ์  ย่อมสามารถที่จะปรับการพูดให้เป็นไปได้ ในทุกรูปแบบ
ถ้าบรรยากาศไม่ดีผู้ฟังเบื่อหน่าย อาจแก้ปัญหาการพูดให้สนุกสนานปลุกการสนใจ ถ้าการพูดเสียเวลามามากอาจตัดตอนให้สั้นลง หรือถ้าผู้ฟังสนใจและมีเวลาเหลืออยู่ อาจขยายความให้มากขึ้น

การสร้างโครงเรื่อง
                        อาคารบ้านเรือนที่มั่นคงสวยงามย่อมต้องมีโครงสร้างที่ดีฉันใด   การพูดที่ดีที่จับใจทำให้คนสนใจฟังได้อย่างต่อเนื่องก็ย่อมต้องมีโครงเรื่องที่ดีฉันนั้น
                        โครงเรื่องที่ดีในการพูด ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ
1.      คำนำหรือคำขึ้นต้น
2.      เนื้อเรื่อง
3.      สรุปจบ
ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ หากทำได้อย่างเหมาะสม จะทำให้คนสนใจได้อย่างแน่นอน
คำนำหรือคำขึ้นต้น
                        การเริ่มต้นที่ดี สร้างความสนใจให้เกิดขึ้นได้ ย่อมสร้างความศรัทธา ทำให้ผู้ฟังติดตามฟังต่อไป ดังคำกล่าวที่ว่า  การเริ่มต้นที่ดี หมายถึง  สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งถ้าเริ่มต้นล้มเหลว ไม่น่าสนใจ ย่อมยามที่จะจุดความสนใจของผู้ฟังขึ้นมาใหม่

ลักษณะการขึ้นต้นที่ล้มเหลว
                        การขึ้นต้นลักษณะต่อไปนี้  เป็นการขึ้นต้นที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
1.      ออกตัว
เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากผู้ฟัง เช่น ผมมาพูดวันนี้ ผมไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่หรอกครับ
ไม่รู้ตัวล่วงหน้ามาก่อนเลย ควรจำเป็นบีบบังคับให้ผมต้องมาพูด
2.      ถ่อมตน
เพราะเกรงว่าผู้ฟังจะมีความรู้  มีประสบการณ์มากกว่า  พยายามลดระดับฐานะความรู้
ความสามารถของตนเอง   ฯลฯ   ให้ต่ำกว่าผู้ฟัง   เช่น   เรื่องที่ผมจะพูดในวันนี้     ผู้ฟังเกือบทุกท่านก็มีความรู้ มีประสบการณ์มากกว่าผมหลายเท่านัก
3.      ขอโทษ  ขออภัย
เนื่องจากกลัวว่าจะพูดได้ไม่ดี    พูดผิดพลาด ไม่ถูกต้อง  ถ้าได้ขอโทษหรือขออภัยไว้ก่อน
ผู้ฟังจะได้ไม่โกรธหรือยกโทษให้ เช่น ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่า สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ จะถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ ถ้ามีส่วนขาดตกบกพร่องไปบ้าง ก็ต้องขอโทษขออภัยท่านผู้ฟังไว้ล่วงหน้าก่อนนะครับ
4.      อ้อมค้อม
อ้างเหตุผลนานาประการที่เป็นเรื่องของตนเอง  หรือเหตุการณ์อื่นๆ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
กับเรื่องที่พูดเลย  เช่น  วันก่อนที่ผมจะมาพูดที่นี่ ผมไปทานอาหารมาครับเป็นอาหารทะเลสดๆ เช้าผมท้องเสีย ถ่ายท้องทั้งวัน จนรู้สึกหมดเรี่ยวแรงแทบจะยืนไม่อยู่
                 
                               ลักษณะการขึ้นต้นดังกล่าวนั้น  ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ฟังเลยแม้แต่น้อย นอกจากจะเป็นการระยายความในใจของผู้พูดออกมาล่วงหน้าไว้ก่อน  ตามหลักการพูดถือเป็นการสูญเสียเวลา และทำลายความสนใจของผู้ฟัง  ไม่ก่อให้เกิดความศรัทธาจากผู้ฟังแต่ประการใด

เนื้อเรื่อง
                        เมื่อเริ่มต้นเรื่องได้ดีสร้างความสนใจให้กับผู้ฟังแล้ว       การดำเนินเรื่องต้องให้มีความผสมกลมกลืนกับคำขึ้นต้น  บางคนเริ่มต้นดีแต่พอถึงเนื้อเรื่อง กลับล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ทั้งนี้ เพราะขาดวิธีการในการดำเนินเรื่องนั่นเอง การดำเนินเรื่องที่ถูกต้อง คือ
1.      ดำเนินเรื่องไปตามลำดับ
ไม่วกไปวนมาจนทำให้ผู้ฟังสับสน การดำเนินเรื่องที่เป็นไปตามลำดับ ควรเริ่มจากจุดแรก
ไปสู่จุดสุดท้ายทีละขั้นตอน  ผู้ฟังจะสามารถติดตามเรื่องไปได้ตลอด หรือการพูดอาจเริ่มจากเหตุไปสู่ผล หรือเริ่มจากผลนำกลับมาสู่เหตุ แล้วแต่ความเหมาะสม
2.      จับอยู่ในประเด็น
เนื้อเรื่องที่พูดต้องอ้างอยู่ในประเด็นของเรื่อง หรือขอบเขตของเรื่องที่กำหนดไว้เสมอ การ
ดำเนินเรื่องออกนอกเขตไปพาดพิงถึงประเด็นอื่นๆ  ทำให้เสียเวลาอย่างมาก และผู้ฟังเกิดความสับสนว่า ผู้พูดกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่   การพูดให้อยู่ในประเด็นนี้ควรมีหัวข้อการพูดคร่าวๆ   อยู่ในใจ  และอธิบายหรือขยายความตามหัวข้อ จะช่วยยึดให้การพูดอยู่ในขอบเขตหรือประเด็นได้มากขึ้น
3.      เน้นจุดมุ่งหมาย
เนื้อเรื่องที่ดีต้องมีจุดมุ่งหมายของเนื้อเรื่องที่แน่นอน มีความสอดคล้องกันโดยตลอด ไม่
ขัดแย้งกันเองในจุดมุ่งหมาย การตอกย้ำจุดมุ่งหมายย่อมทำให้เกิดความชัดเจนของเรื่องมากขึ้น   คำพูดแบบเลื่อนลอยไม่มีจุดหมายย่อมมีผลกระทบ ทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจไปด้วยหรือถ้าเข้าใจก็อาจเข้าใจผิดพลาดไปจากความประสงค์ของผู้พูด
4.      ใช้ตัวอย่างประกอบตามเรื่องราว
บางครั้งผู้ฟังฟังแล้วอาจไม่เข้าใจ ถ้ามีการยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวนั้นๆ มา
ประกอบจะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจได้มากและง่ายขึ้น การมีตัวอย่างประกอบจึงช่วยให้เนื้อเรื่องมีน้ำหนัก น่าเชื่อ และเห็นภาพพจน์ การสรรหาตัวอย่างควรหาตัวอย่างง่ายๆ ใกล้ตัวผู้ฟัง ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ อุทาหรณ์ หรือเรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมา
5.      เร่งเร้าความสนใจ
การเร่งเร้าความสนใจของผู้ฟังนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญ    ต้องอาศัยศิลปะการพูด  การวิเคราะห์
ผู้ฟังเข้ามาประกอบด้วย  ถ้อยคำที่น่าสนใจ คำคม การเรียบเรียงดี เป็นปัจจัยในการเพิ่มความสนใจของผู้ฟังให้เพิ่มเป็นลำดับ การสอดแทรกอารมณ์ขันในระหว่างการพูดอย่างเหมาะสม จะช่วยสร้างความสนใจได้ดีเช่นกัน
            สรุปจบ
                        เมื่อขึ้นต้นดี  ดำเนินเรื่องได้อย่างกลมกลืน การสรุปจบก็ต้องสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังเป็นการปิดท้าย  ผู้พูดบางคนล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการสรุป เหมือนคำกล่าวที่ว่า ม้าตีนต้นคือดีหรือเก่งเฉพาะในตอนเริ่มเท่านั้น แต่ตอนท้ายกลับได้ไม่ดีคล้าย ตกม้าตายตอนจบผู้พูดต้องนึกไว้เสมอว่า ผู้ฟังจะประทับใจให้คะแนนผู้พูดมากหรือน้อยอยู่ที่ตอนสรุปจบด้วย